บทความที่ 2 / Artikuł 2

บทความที่ 2 / Artikuł 2

วันที่นำเข้าข้อมูล 14 ก.พ. 2565

วันที่ปรับปรุงข้อมูล 25 พ.ย. 2565

| 658 view

ในบทความที่แล้ว สถานเอกอัครราชทูตฯ ได้พาคุณผู้อ่านย้อนกลับไปดูว่าก่อนความสัมพันธ์ทางการทูตจะเริ่มขึ้นมาเมื่อ 50 ปีที่แล้วนั้น มีเหตุการณ์สำคัญมาแล้วก่อนหน้า คือการเสด็จเยือนโปแลนด์ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ระหว่างการเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 1 ในปี พ.ศ. 2440 แต่ถ้าจะย้อนไปไกลกว่านั้นอีกซักนิด หากเราลองตั้งคำถามว่า แล้วจริง ๆ คนไทยและคนโปแลนด์ เคย “เห็นหน้าค่าตา” กันมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็จะได้คำตอบและเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่น่าสนใจทีเดียว และทำให้รู้ว่าความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการนั้น เป็นผลผลิตจากความสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการที่แน่นแฟ้นมาแล้ว ในเดือนนี้ สถานเอกอัครราชทูตฯ จึงจะขอพาทุกท่านย้อนกลับไปดูกันว่า เหตุการณ์น่าสนใจหรือน่าประทับใจที่คนทั้งสองประเทศนั้นเคยพบปะกันมีตัวอย่างอะไรบ้าง

 

เมื่อราว 350- 400 ปีก่อน ได้มีคณะสมณทูตจากยุโรปหลายคณะเดินทางไปเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในเอเชีย โดยหลายคณะมีเป้าหมายปลายทางอยู่ที่จีน ซึ่งสมณทูตคณะหนึ่งที่มีบทบาทมากคือกลุ่มบาทหลวงเยซูอิต โดยมีบาทหลวงท่านหนึ่งชื่อ Michał Boym (มิฮ่าว โบยึม) ได้รับหน้าที่สำคัญจากคณะบาทหลวงเยซูอิตในการเดินทางไปจีนด้วย โดยบาทหลวง Boym นี้เป็นคนโปแลนด์ เกิดที่เมือง Lwów (ตอนนั้นเป็นเขตของโปแลนด์ แต่ปัจจุบันคือเมือง Lviv ของยูเครน) และไปบวชเป็นบาทหลวงภายใต้คณะเยซูอิตที่เมือง Kraków ของโปแลนด์

บาทหลวง Boym ท่านนี้ เป็นพระที่เป็นพหูสูตคนหนึ่ง มีความรู้ทั้งทางวิทยาศาสตร์ ภาษาศาสตร์ รวมไปถึงความรู้เรื่องพืชและสัตว์เป็นอย่างดี ไม่นับรวมถึงความรู้เกี่ยวกับจีนซึ่งตนไปฝังตัวอยู่ จนเป็นคนแรกที่จัดทำพจนานุกรมภาษาจีน-ยุโรป (ภาษาฝรั่งเศส) ขึ้น บาทหลวง Boym ได้เดินทางระหว่างยุโรปและจีนหลายครั้ง และในปี พ.ศ. 2201 ได้เดินทางผ่านมายังอยุธยาในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เพื่อเช่าเรือจากอยุธยาเดินทางต่อไปยังเวียดนามและจีนด้วย บาทหลวง Boym ท่านนี้ จึงน่าจะเป็นคนโปแลนด์คนแรกที่ได้เหยียบแผ่นดินสยาม และให้คนสยามได้พบเห็นว่าคนโปแลนด์หน้าตาเป็นอย่างไร เพียงแต่น่าเสียดายที่ท่านได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับจีนเป็นส่วนมาก และไม่ได้ใช้ชีวิตหรือเขียนบันทึกที่เกี่ยวกับอยุธยาไว้ ไม่เช่นนั้นเราอาจได้ศึกษาวิถีชีวิตของอยุธยาจากจดหมายเหตุของคนโปแลนด์ เพื่อเทียบเคียงกับจดหมายเหตุของฝรั่งอื่น ๆ อย่างลาลูแบร์หรือวันวลิตก็เป็นได้

หลังจากบาทหลวง Boym 230 ปี มีคนโปแลนด์สำคัญอีกคนหนึ่งที่เดินทางมายังสยาม นั่นก็คือ Joseph Conrad ซึ่งเป็นทั้งนักเดินเรือ พ่อค้า และนักเขียนนวนิยายภาษาอังกฤษที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่ง แต่โดยที่ Conrad ได้สัญชาติอังกฤษและเขียนนวนิยายภาษาอังกฤษ คนจำนวนมากจึงเข้าใจว่าเป็นคนอังกฤษ ทั้งที่จริง ๆ แล้ว Conrad เป็นคนโปแลนด์ มีชื่อภาษาโปลิชคือ Józef Teodor Konrad Korzeniowski โดยในปี พ.ศ. 2431 ซึ่งตรงกับช่วงสมัยรัชกาลที่ 5 Conrad ได้เดินทางกับกองเรืออังกฤษออกจากสิงคโปร์มายังบางกอก และได้พักที่ รร. โอเรียนเต็ล ซึ่งปิดปรับปรุงครั้งใหญ่และเพิ่งเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อปี พ.ศ. 2430 ประมาณปีหนึ่งก่อนที่ Conrad จะมาถึงสยามและได้ใช้เป็นที่พำนัก

การเดินทางมาสยามของ Conrad ครั้งนั้นมีผลผลิตคือนวนิยายเรื่องหนึ่งคือ The Shadow Line ซี่งเป็นเรื่องราวที่ฉากในท้องเรื่องเป็นอ่าวไทยและบางกอก นับเป็นนิยายขายดีเล่มหนึ่ง แต่ Conrad ก็มีหนังสือนวนิยายชั้นนำที่มีชื่อเสียงอีกหลายเล่ม หนึ่งในนั้นคือ Lord Jim ซึ่งสำนักพิมพ์ Modern Library ยกย่องให้เป็นนวนิยายภาษาอังกฤษที่ดีที่สุด 100 อันดับแรกของศตวรรษที่ 20 เลยทีเดียว และชื่อหนังสือดังกล่าวก็ถูกนำมาใช้ตั้งเป็นชื่อภัตตาคาร Lord Jim’s อันเลื่องชื่อของ รร. โอเรียนเต็ล เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้แต่งชาวโปแลนด์ที่เคยมาพำนักที่โรงแรมนั่นเอง

อีกครั้งหนึ่งที่คนไทยและคนโปแลนด์ได้มีโอกาสพบกันในสถานการณ์ที่น่าสนใจคือในปี พ.ศ. 2472 (สมัยรัชกาลที่ 7) ในการชุมนุมลูกเสือโลกครั้งที่ 3 ซึ่งแม้ว่าสมัยนั้นการเดินทางไปต่างประเทศจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ไทยก็ให้ความสำคัญกับกิจการลูกเสือมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 และส่งคณะจากไทยไปร่วมงานชุมนุมลูกเสือโลกทั้งครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2463 ส่งคนไทยไปร่วม 4 คน) และครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2467 ส่งคนไทยไปร่วม 9 คน) โดยงานชุมนุมฯ ในครั้งที่ 3 นี้ จัดขึ้นที่อังกฤษ ไทยเราส่งคนไปร่วม 8 คน โดยครั้งนั้นเต้นท์คณะลูกเสือไทยได้ตั้งอยู่ติดกับเต้นท์คณะลูกเสือจากโปแลนด์ และมีเด็กหนุ่มจากคณะไทยคนหนึ่งได้เขียนบันทึกไว้ว่า เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนจากโปแลนด์ เด็กหนุ่มคนนั้นต่อมาก็คือศาสตราจารย์รอง ศยามานนท์ อดีตคณบดีคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

เรื่องสุดท้ายที่ขอนำมาเล่าสู่กันฟังไม่ใช่การ “พบปะ” ระหว่างคนไทยกับคนโปแลนด์ แต่เป็นการที่คนไทยได้ศึกษาประวัติศาสตร์โปแลนด์อย่างลึกซึ้ง นั่นคือสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อครั้งยังทรงศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ได้ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือประวัติศาสตร์เล่มหนึ่งชื่อ The War of the Polish Succession ซึ่งสำนักพิมพ์ออกซ์ฟอร์ดได้ตีพิมพ์อย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2444 หนังสือดังกล่าวมีความยาว 96 หน้า เป็นหนังสือที่สะท้อนประวัติศาสตร์โปแลนด์ในช่วงปี พ.ศ. 2276-2278 อันเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญของราชวงศ์โปแลนด์ ซึ่งอยู่ท่ามกลางมหาอำนาจอย่างจักรวรรดิปรัสเซีย ออสเตรีย และรัสเซีย โดยมีพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ของฝรั่งเศสเข้าไปมีบทบาทด้วย เนื่องจากทรงมีพระมเหสีเป็นเจ้าหญิงจากโปแลนด์ 

หนังสือเล่มนี้สะท้อนพระอัจริยภาพของล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ 2 เรื่องสำคัญคือ พระปรีชาในการใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งภาษาที่ใช้พระราชนิพนธ์นั้นไม่แพ้นักเขียนฝรั่งเลยทีเดียว อีกเรื่องหนึ่งคือความเข้าใจอันลึกซึ้งของประวัติศาสตร์ยุโรปและการแข่งขันกันของมหาอำนาจ ผ่านประวัติศาสตร์ของโปแลนด์จนนำไปสู่การแบ่งดินแดนของโปแลนด์ไปยังมหาอำนาจของภูมิภาคในเวลาต่อมา

นี่เป็นตัวอย่างบางประการที่คนไทยและโปแลนด์ในอดีตได้มีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งเป็นพื้นฐานให้คนรุ่นหลังได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ในบทความเดือนหน้าสถานเอกอัครราชทูตฯ จะนำท่านไปชมกันว่า แล้วความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการนั้นมีการปูพื้นกันมาอย่างไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

W poprzednim artykule Ambasada zabrała Was do czasów sprzed nawiązania stosunków dyplomatycznych, które miało miejsce 50 lat temu. A mianowicie do ważnego wydarzenia, jakim była wizyta w Warszawie nieżyjącego już króla Ramy V podczas jego pierwszej podróży po Europie w 1897 roku. Jeśli jednak spróbujemy zadać sobie pytanie, kiedy naprawdę doszło do pierwszych spotkań między Tajami i Polakami, znajdziemy ciekawe odpowiedzi i anegdoty i zobaczymy, że oficjalne stosunki dyplomatyczne są wynikiem i tak już istniejących nieformalnych powiązań. Ambasada chciałaby więc znów zabrać Was w przeszłość, do interesujących lub imponujących wydarzeń, które miały  miejsce w relacjach między oboma narodami.

 

Około 350-400 lat temu europejscy misjonarze podróżowali po Azji, aby krzewić chrześcijaństwo. Wielu z nich jako cel podróży wybierało Chiny. Jednym z misjonarzy, który odegrał tu bardzo ważną rolę był jezuita biskup Michał Boym. W 1658 r. otrzymał on od swojego zakonu ważne zadanie wyjazdu do Chin. Michał Boym pochodził z Polski, urodził się we Lwowie i został wyświęcony na kapłana u jezuitów w Krakowie.

 

Ojciec Boym był osobą wszechstronną. Posiadał ogromną wiedzę z zakresu nauk ścisłych, językoznawstwa oraz roślin i zwierząt. Dotyczyło to również znajomości Chin, w których spędził dużo czasu i uznany został za osobę, która jako pierwsza stworzyła coś w rodzaju słownik języka chińskiego. Wielebny Boym wielokrotnie podróżował między Europą a Chinami, a w roku 1658 był w Ayutthayi za panowania króla Narai Wielkiego, aby wynająć stamtąd łódź na podróż do Wietnamu i Chin. Ojciec Boym był najprawdopodobniej pierwszym Polakiem, który postawił stopę w Syjamie, a Syjamczycy wtedy właśnie po raz pierwszy zobaczyli Polaka. Niestety pisał głównie o Chinach i nie mieszkał ani nie pisał o Ayutthayi. Gdyby tak było moglibyśmy badać ówczesne życie Ayutthayi, korzystając z archiwów polskich i porównać je z innymi archiwami zachodnimi, stworzonymi przez La Louberta czy Van Vlita.

 

230 lat po Boymie do Syjamu przybył inny ważny Polak: Joseph Conrad, jeden z najsłynniejszych angielskich podróżników, kupców i powieściopisarzy. Gdy uzyskał angielskie obywatelstwo i zaczął pisać powieści po angielsku, wielu ludzi zakładało, że jest Brytyjczykiem. Conrad był jednak z pochodzenia Polakiem, miał polskie nazwisko Józef Teodor Konrad Korzeniowski. W 1888 roku, za panowania króla Ramy V, Conrad odbył z brytyjską flotą podróż z Singapuru do Bangkoku, gdzie zatrzymał się w słynnym hotelu Oriental. Wcześniej hotel był zamknięty z powodu poważnych prac remontowych i został oficjalnie otwarty dopiero w 1887 roku, czyli około roku przed przybyciem Conrada do Syjamu, kiedy to zatrzymał się właśnie w tym hotelu.

 

Podróż Conrada do Syjamu zaowocowała słynną powieścią ‘Smuga cienia’. Pisząc ją jako tło wydarzeń wykorzystał Zatokę Tajlandzką i Bangkok. To jedna z jego najlepiej sprzedających się książek, ale Conrad ma na swoim koncie również kilka bardzo znanych powieści. Jedną z nich jest ‘Lord Jim’, uznany przez wydawnictwo Modern Library za jedną ze 100 najlepszych angielskich powieści XX wieku. Aby upamiętnić pobyt  polskiego pisarza w hotelu Oriental, znaną restaurację w tymże hotelu nazwano Lord Jim's.

 

Do kolejnego ciekawego spotkania Taja i Polaka doszło w 1929 roku (podczas panowania Króla Ramy VII) na III Światowym Jamboree Skautowym. W tamtych czasach podróżowanie nie było takie łatwe, ale Tajlandia od czasów panowania króla Ramy VI przywiązywała wagę do spraw skautów i w związku z tym wysłała grupę Tajów na poprzednie dwa Światowe Jamboree Skautów (pierwsze w 1920 roku, na które pojechało 4 Tajów, a kolejne w 1924, na które wysłano 9 Tajów). Na trzecie spotkanie, które odbyło się w Anglii, Tajlandia wysłała 8 osób. Wtedy właśnie namiot tajskiej grupy skautów stał tuż obok polskiego namiotu, a młody człowiek z grupy tajskiej napisał potem w swoich notatkach, że pierwszy raz spotkał kogoś z Polski. Tym młodym człowiekiem był późniejszy profesor Rong Sayamanon, były dziekan Wydziału Sztuki Uniwersytetu Chulalongkorn.

 

Ostatnia opowieść dotycząca kontaktów tajsko - polskich, którą Ambasada chciałaby się z Wami podzielić, nie dotyczy „spotkania” Tajów i Polaków. Tym razem chodzi o Taja, który intensywnie studiowali historię Polski. Osobą tą był książę Jego Wysokość Maha Vajiravudh, następca tronu, który jeszcze studiując na Uniwersytecie Oksfordzkim napisał książkę „Wojna o sukcesję polską”. Książka ta została oficjalnie opublikowana przez  Oxford Publishing w 1901 roku. 96-stronicowa książka opisuje historię Polski w latach 1733-1735. Był to ważny okres przejściowy dla polskiej rodziny królewskiej, w czasie gdy Polska otoczona była przez wielkie mocarstwa, takie jak Cesarstwo Pruskie, Austriackie i Rosyjskie, z królem Francji Ludwikiem XV odgrywającym kluczową rolę, ponieważ jego żona była księżniczką z Polski.

 

Książka ta pokazuje dwa wielkie talenty króla Ramy VI, gdy był młodym mężczyzną. Jednym z nich jest jego znajomość języka angielskiego na takim poziomie, że jego sposób pisania nie ustępował autorom angielskim. Drugimi jest dogłębne zrozumienie historii Europy i rywalizacji mocarstw na przestrzeni dziejów Polski, prowadzącej do podziału Polski na późniejszym etapie.

 

Oto kilka przykładów nieformalnych interakcji między Tajami i Polakami w przeszłości, które przyczyniły się do dobrych relacji przyszłych pokoleń. W następnym miesiącu Ambasada zabierze Was czasów, kiedy nawiązywano oficjalne stosunki dyplomatyczne i pokaże, jak to się odbywało.

รูปภาพประกอบ

รูปภาพประกอบ

ข่าวใกล้เคียง

ข่าวใกล้เคียง